รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย(cognitive
domain)
1.การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย(cognitive
domain)
รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้
เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้
ความเข้าใจในเนื้อหาสาระต่าง ๆ ซึ่งเนื้อหาสาระนั้นอาจอยู่ในรูปของข้อมูล
ข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หรือความคิด รวบยอด รูปแบบที่คัดเลือกมานำเสนอในที่นี้มี 5 รูปแบบ ดังนี้
1.1 รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย
1.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการนำเสนอมโนทัศน์กว้างล่วงหน้า
1.4 รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจำ
1.5 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิก
1.1 รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์ (Concept Attainment Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
จอยส์และวีล(Joyce & Weil, 1996: 161-178)
พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นโดยใช้แนวคิดของบรุน เนอร์ กู๊ดนาว
และออสติน
(Bruner, Goodnow, และ Austin)
การเรียนรู้มโนทัศน์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น
สามารถทำได้โดยการค้นหาคุณสมบัติเฉพาะที่สำคัญของสิ่งนั้น
เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกสิ่งที่ใช่และไม่ใช่ สิ่งนั้นออกจากกันได้
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ของเนื้อหาสาระต่าง ๆ
อย่างเข้าใจ และสามารถให้ คำนิยามของมโนทัศน์นั้นด้วยตนเอง
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ผู้สอนเตรียมข้อมูลสำหรับให้ผู้เรียนฝึกหัดจำแนก
ผู้สอนเตรียมข้อมูล 2 ชุด
ชุดหนึ่งเป็นตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน อีกชุดหนึ่งไม่ใช่ตัวอย่าง
ของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนในการเลือกตัวอย่างข้อมูล 2 ชุดข้างต้น
ผู้สอนจะต้องเลือกหาตัวอย่างที่มีจำนวนมากพอที่จะ
ครอบคลุมลักษณะของมโนทัศน์ที่ต้องการนั้น ถ้ามโนทัศน์ที่ต้องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือเป็นนามธรรม
อาจใช้วิธีการยกเป็นตัวอย่างเรื่องสั้นๆที่ผู้สอนแต่งขึ้นเองนำเสนอแก่ผู้เรียน
ผู้สอนเตรียมสื่อการสอนที่เหมาะสมจะใช้นำเสนอตัวอย่างมโนทัศน์เพื่อแสดงให้เห็นลักษณะต่างๆของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนอย่างชัดเจน
ขั้นที่ 2 ผู้สอนอธิบายกติกาในการเรียนให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจตรงกัน
ผู้สอนชี้แจงวิธีการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอาจสาธิตวิธีการและให้ผู้เรียนลองทำตามที่ผู้สอนบอกจนกระทั่งผู้เรียนเกิดความเข้าใจพอสมควร
ขั้นที่ 3 ผู้สอนเสนอข้อมูลตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน
และข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ ต้องการสอน การนำเสนอข้อมูลตัวอย่างนี้ทำได้หลายแบบ
แต่ละแบบมีจุดเด่น-จุดด้อย ดังต่อไปนี้
1) นำเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนหมดทั้งชุด
โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่าเป็น
ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนแล้วตามด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนครบหมดทั้งชุดเช่นกัน
โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่าข้อมูลชุดหลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสอน
ผู้เรียนจะต้องสังเกตตัวอย่างทั้ง 2 ชุด และคิดหา
คุณสมบัติร่วมและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
เทคนิควิธีนี้สามารถช่วยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้เร็วแต่ใช้ กระบวนการคิดน้อย
2) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนสลับกันไปจนครบ
เทคนิควิธีนี้ช่วยสร้างมโนทัศน์ได้ ช้ากว่าเทคนิคแรก แต่ได้ใช้กระบวนการคิดมากกว่า
3) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล
แล้วเสนอข้อมูลที่เหลือทั้งหมดทีละข้อมูลโดยให้ผู้เรียนตอบว่าข้อมูลแต่ละข้อมูลที่เหลือนั้นใช่หรือไม่ใช่ตัวอย่างที่จะสอน
เมื่อผู้เรียนตอบ ผู้สอน จะเฉลยว่าถูกหรือผิด
วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการคิดในการทดสอบสมมติฐานของตนไปทีละขั้นตอน
4) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล
แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันยกตัวอย่างข้อมูลที่ผู้เรียนคิดว่าใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอน
โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ วิธีนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสคิดมากขึ้นอีก
ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนบอกคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอน
จากกิจกรรมที่ผ่านมาในขั้นต้น
ๆ ผู้เรียนจะต้องพยามหาคุณสมบัติเฉพาะของตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่สิ่ง
ที่ผู้เรียนต้องการสอนและทดสอบคำตอบของตน
หากคำตอบของตนผิดผู้เรียนก็จะต้องหาคำตอบใหม่ซึ่งก็
หมายความว่าต้องเปลี่ยนสมมติฐานที่เป็นฐานของคำตอบเดิม ด้วยวิธีนี้ผู้เรียนจะค่อย
ๆ สร้างความคิดรวบยอด ของสิ่งนั้นขึ้นมา
ซึ่งก็จะมาจากคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งนั้นนั่นเอง
ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนสรุปและให้คำจำกัดความของสิ่งที่ต้องการสอน
เมื่อผู้เรียนได้รายการของคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอนแล้ว
ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเรียบเรียง ให้เป็นคำนิยามหรือคำจำกัดความ
ขั้นที่ 6 ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายร่วมกันถึงวิธีการที่ผู้เรียนใช้ในการหาคำตอบ
ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิดของตัวเอง
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
เนื่องจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ จากการคิด
วิเคราะห์และตัวอย่างที่หลากหลาย ดังนั้นผล ที่ผู้เรียนจะได้รับโดยตรงคือ
จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะการสร้างมโนทัศน์ซึ่งสามารถ
นำไปใช้ในการทำความเข้าใจมโนทัศน์อื่น ๆต่อไปได้ รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลโดยการอุปนัย
(inductive reasoning) อีกด้วย
1.2 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย (Gagne’s
Instructional Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
กานเย (Gagne, 1985: 70-90) ได้พัฒนาทฤษฎีเงื่อนไขการเรียนรู้
(Condition of Learning) ซึ่งมี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้
และทฤษฎีการจัดการเรียนการสอน ทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเย
อธิบายว่าปรากฏการณ์การเรียนรู้มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ 1)
ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง
ๆ ของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 5 ประเภทคือทักษะทางปัญญา (intellectual skill )
ซึ่งประกอบด้วยการจำแนกแยกแยะ การสร้างความคิดรวบยอด การสร้างกฎ การสร้าง
กระบวนการหรือกฎชั้นสูง ความสามารถด้านต่อไปคือ กลวิธีในการเรียนรู้(cognitiveStrategy)
ภาษาหรือ
คำพูด (verbal information) ทักษะการเคลื่อนไหว(motor skill) และเจตคติ(attitude) 2)
กระบวนการเรียนรู้และจดจำของมนุษย์
มนุษย์มีกระบวนการจัดกระทำข้อมูลในสมอง ซึ่งมนุษย์
จะอาศัยข้อมูลที่สะสมไว้มาพิจารณาเลือกจัดกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
และขณะที่กระบวนการจัดกระทำข้อมูล
ภายในสมองกำลังเกิดขึ้นเหตุการณ์ภายนอกร่างกายมนุษย์มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมหรือการยับยั้งการเรียนรู้ที่
เกิดขึ้นภายในได้ ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอน กานเยจึงได้เสนอแนะว่า
ควรมีการจัดสภาพการเรียนการ สอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท
ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ ภายในสมอง
โดยจัดสภาพการณ์ภายนอกให้เอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้อย่างดี
รวดเร็ว และสามารถจดจ าสิ่งที่ เรียนได้นาน
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
การเรียนการสอนตามรูปแบบของกานเย
ประกอบด้วยการดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอนรวม 9 ขั้นดังนี้
ขั้นที่ 1 การกระตุ้นและดึงดูดความสนใจของผู้เรียน
เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสามารถรับสิ่งเร้า หรือสิ่งที่ จะเรียนรู้ได้ดี
ขั้นที่ 2 การแจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนให้ผู้เรียนทราบ
เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้รับรู้ความคาดหวัง
ขั้นที่ 3 การกระตุ้นให้ระลึกถึงความรู้เดิม
เป็นการช่วยให้ผู้เรียนดึงข้อมูลเดิมที่อยู่ในหน่วยความจำระยะยาวให้มาอยู่ในหน่วยความจำเพื่อใช้งาน(working
memory) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมในการ เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
ขั้นที่ 4 การนำเสนอสิ่งเร้าหรือเนื้อหาสาระใหม่
ผู้สอนควรจะจัดสิ่งเร้าให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของสิ่ง เร้านั้นอย่างชัดเจน
เพื่อความสะดวกในการเลือกรับรู้ของผู้เรียน
ขั้นที่ 5 การให้แนวการเรียนรู้
หรือการจัดระบบข้อมูลให้มีความหมาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำ
ความเข้าใจกับสาระที่เรียนได้ง่ายและเร็วขึ้น
ขั้นที่ 6 การกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถ
เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสาระที่ เรียน
ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน
ขั้นที่ 7 การให้ข้อมูลป้อนกลับ
เป็นการให้การเสริมแรงแก่ผู้เรียน และข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้เรียน
ขั้นที่ 8 การประเมินผลการแสดงออกของผู้เรียน
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนเองสามารถบรรลุ วัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด
ขั้นที่ 9 การส่งเสริมความคงทนและการถ่ายโอนการเรียนรู้
โดยการให้โอกาสผู้เรียนได้มีการฝึกฝน อย่างพอเพียงและในสถานการณ์ที่หลากหลาย
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น และสามารถถ่าย
โอนการเรียนรู้ไปสู่สถานการณ์อื่น ๆ ได้
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
เนื่องจากการเรียนการสอนตามรูปแบบนี้
จัดขึ้นให้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และจดจำของ มนุษย์ ดังนั้น
ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้สาระที่นำเสนอได้อย่างดี
รวดเร็วและจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้นาน
นอกจากนั้นผู้เรียนยังได้เพิ่มพูนทักษะในการจัดระบบข้อมูล สร้างความหมายของข้อมูล
รวมทั้งการแสดง ความสามารถของตนด้วย
1.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการน าเสนอมโนทัศน์กว้างล่วงหน้า (Advance Organizer Model)
1.3 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการน าเสนอมโนทัศน์กว้างล่วงหน้า (Advance Organizer Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
การนำเสนอมโนทัศน์กว้างล่วงหน้า(Advanced Organizer)
เพื่อการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (meaningful verbal learning)
การเรียนรู้จะมีความหมายเมื่อสิ่งที่เรียนรู้สามารถเชื่อมโยงกับความรู้เดิมของ
ผู้เรียน ดังนั้นในการสอนสิ่งใหม่ สาระความรู้ใหม่
ผู้สอนควรวิเคราะห์หาความคิดรวบยอดย่อย ๆ ของสาระที่ จะนำเสนอ จัดทำผังโครงสร้างของความคิดรวบยอดเหล่านั้นแล้ววิเคราะห์หามโนทัศน์หรือความคิดรวบยอดที่
กว้างครอบคลุมความคิดรวบยอดย่อย ๆ ที่จะสอน
หากครูนำเสนอมโนทัศน์ที่กว้างดังกล่าวแก่ผู้เรียนก่อนการ สอนเนื้อหาสาระใหม่
ขณะที่ผู้เรียนกำลังเรียนรู้สาระใหม่ ผู้เรียนจะสามารถ นำสาระใหม่นั้นไปเกาะเกี่ยว
เชื่อมโยงกับมโนทัศน์กว้างที่ให้ไว้ล่วงหน้าแล้ว
ทำให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายต่อผู้เรียน
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระ ข้อมูลต่าง ๆ
อย่างมีความหมาย
ค. กระบวนการเรียนการสอน
ขั้นที่ 1 การจัดเตรียมมโนทัศน์กว้าง
โดยการวิเคราะห์หามโนทัศน์ที่กว้างและครอบคลุมเนื้อหาสาระใหม่ทั้งหมด
มโนทัศน์ที่กว้างนี้ ไม่ใช่สิ่ง เดียวกับมโนทัศน์ใหม่ที่จะสอน
แต่จะเป็นมโนทัศน์ในระดับที่เหนือขึ้นไปหรือสูงกว่า ซึ่งจะมีลักษณะเป็น
นามธรรมมากกว่า ปกติมักจะเป็นมโนทัศน์ของวิชานั้นหรือสายวิชานั้น
ควรนำเสนอมโนทัศน์กว้างนี้ล่วงหน้า ก่อนการสอน จะเป็นเสมือนการ”preview” บทเรียน
ซึ่งจะเป็นคนละอย่างกับการ”over view” หรือการให้ดู ภาพรวมของสิ่งที่จะสอน
การนำเสนอภาพรวมของสิ่งที่จะสอน การทบทวนความรู้เดิม การซักถามความรู้และ
ประสบการณ์ของผู้เรียนเกี่ยวกับเรื่องที่จะสอน
การบอกวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน เหล่านี้ ไม่นับว่าเป็น “advance
organizer” ซึ่งจะต้องมีลักษณะที่กว้างครอบคลุม
และมีความเป็นนามธรรมอยู่ในระดับสูง กว่าสิ่งที่จะสอน
ขั้นที่ 2 การนำเสนอมโนทัศน์กว้าง
1) ผู้สอนชี้แจงวัตถุประสงค์ของบทเรียน
2) ผู้สอนนำเสนอมโนทัศน์กว้างด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นการบรรยายสั้น ๆ
แสดงแผนผังมโนทัศน์ ยกตัวอย่าง หรือใช้การเปรียบเทียบ เป็นต้น
ขั้นที่ 3 การนำเสนอเนื้อหาสาระใหม่ของบทเรียน
ผู้สอนนำเสนอเนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ
ตามปกติแต่ในการนำเสนอ
ผู้สอนควรกล่าวเชื่อมโยงหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงกับมโนทัศน์ที่ให้ไว้ล่วงหน้าเป็นระยะ
ๆ
ขั้นที่ 4 การจัดโครงสร้างความรู้
ผู้สอนส่งเสริมกระบวนการจัดโครงสร้าง ความรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น
ส่งเสริมการ ผสมผสานความรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนตื่นตัวในการเรียนรู้
และทำความกระจ่างในสิ่งที่เรียนรู้ โดยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น
1) อธิบายภาพรวมของเรื่องที่เรียน
2) สรุปลักษณะสำคัญของเรื่อง
3) บอกหรือเขียนค านิยามที่กะทัดรัดชัดเจน
4) บอกความแตกต่างของสาระในแง่มุมต่าง ๆ
5) อธิบายว่าเนื้อหาสาระที่เรียนสนับสนุนหรือส่งเสริมมโนทัศน์กว้างที่ให้ไว้ล่วงหน้าอย่างไร
6) อธิบายความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาสาระใหม่กับมโนทัศน์กว้างที่ให้ไว้ล่วงหน้า
7) ยกตัวอย่างเพิ่มเติมจากสิ่งที่เรียน
8) อธิบายแก่นสำคัญของสาระที่เรียนโดยใช้คำพูดของตัวเอง
9) วิเคราะห์สาระในแง่มุมต่าง ๆ
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
ผลโดยตรงที่ผู้เรียนจะได้รับก็คือ
เกิดการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระและข้อมูลของบทเรียนอย่างมี ความหมาย
เกิดความคิดรวบยอดในสิ่งที่เรียน และสามารถจัดโครงสร้างความรู้ของตนเองได้
นอกจากนั้นยังได้ พัฒนาทักษะและอุปนิสัยในการคิดและเพิ่มพูนความใฝ่รู้
1.4 รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจำ (Memory Model)
1.4 รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจำ (Memory Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบนี้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลัก 6 ประการเกี่ยวกับ
1) การตระหนักรู้(awareness) ซึ่งกล่าวว่า การที่บุคคลจะจดจำสิ่งใดได้ดีนั้น
จะต้องเริ่ม จากการรับรู้สิ่งนั้น หรือการสังเกตสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ
2) การเชื่อมโยง(association) กับสิ่งที่รู้แล้วหรือจำได้
3) ระบบการเชื่อมโยง(link system) คือระบบในการเชื่อมความคิดหลายความคิดเข้า
ด้วยกันในลักษณะที่ความคิดหนึ่งจะไปกระตุ้นให้สามารถจำอีกความคิดหนึ่งได้
4) การเชื่อมโยงที่น่าขบขัน(ridiculous association) การเชื่อมโยงที่จะช่วยให้บุคคลจดจำได้
ดีนั้น มักจะเป็นสิ่งที่แปลกไปจากปกติธรรมดา การเชื่อมโยงในลักษณะที่แปลก
เป็นไปไม่ได้ ชวนให้ขบขัน มักจะประทับในความทรงจำของบุคคลเป็นเวลานาน
5) ระบบการใช้คำทดแทน
6) การใช้คำสำคัญ(key word) ได้แก่ การใช้คำ อักษร หรือพยางค์เพียงตัวเดียว
เพื่อช่วย กระตุ้นให้จำสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวกันได้
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มีวัตถุประสงค์ช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระที่เรียนรู้ได้ดีและได้นาน
และได้เรียนรู้ กลวิธีการจำซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอื่น ๆ ได้อีก
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ในการเรียนการสอนเนื้อหาสาระใด ๆ
ผู้สอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระนั้นได้ดีและ ได้นานโดยดำเนินการดังนี้
ขั้นที่ 1 การสังเกตหรือศึกษาสาระอย่างตั้งใจ ผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนตระหนักรู้ในสาระที่เรียน
โดยการใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น ให้อ่านเอกสารแล้วขีดเส้น ใต้คำ/ประเด็นที่สำคัญ
ให้ตั้งคำถามจากเรื่องที่อ่าน ให้หาคำตอบของคำถามต่าง ๆ เป็นต้น
ขั้นที่ 2 การสร้างความเชื่อมโยง
เมื่อผู้เรียนได้ศึกษาสาระที่ต้องการเรียนรู้แล้ว
ให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหาส่วนต่าง ๆที่ต้องการจดจำกับ สิ่งที่ตนคุ้นเคย เช่น
กับคำ ภาพ หรือความคิดต่าง ๆ (ตัวอย่างเช่น
เด็กจำไม่ได้ว่าค่ายบางระจันอยู่จังหวัดอะไร จึงโยงความคิดว่า
ชาวบางระจันเป็นคนกล้าหาญ
สัตว์ที่ถือว่าเก่งกล้าคือสิงโตบางระจันจึงอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี) หรือให้หาหรือคิดคำสำคัญ
ที่สามารถกระตุ้นความจำในข้อมูลอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกัน เช่น สูตร 4
M หรือทดแทน คำที่ไม่คุ้นด้วย คำภาพ หรือความหมายอื่น
หรือการใช้การเชื่อมโยงความคิดเข้าด้วยกัน
ขั้นที่ 3 การใช้จินตนาการ เพื่อให้จดจำสาระได้ดีขึ้น
ให้ผู้เรียนใช้เทคนิคการเชื่อมโยงสาระต่าง ๆ ให้เห็นเป็นภาพที่น่าขบขัน เกิน
ความเป็นจริง ขั้นที่ 4 การฝึกใช้เทคนิคต่าง ๆ
ที่ทำไว้ข้างต้นในการทบทวนความรู้และเนื้อหาสาระต่างๆ จนกระทั่ง จดจ าได้
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ การเรียนโดยใช้เทคนิคช่วยความจำต่าง
ๆ ของรูปแบบ นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำเนื้อหา สาระต่างๆ
ที่เรียนได้ดีและได้นานแล้ว ยังช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กลวิธีการจำ
ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ เรียนรู้สาระอื่น ๆ ได้อีกมาก
1.5 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizer Instructional Model)
1.5 รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizer Instructional Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
กระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วนด้วยกันได้แก่
ความจำข้อมูล กระบวนการทางปัญญา และเมตาคอคนิชั่น ความจำข้อมูลประกอบด้วย
ความจำจากการรู้สึกสัมผัส(sensory memory) ซึ่งจะเก็บข้อมูลไว้เพียงประมาณ 1 วินาทีเท่านั้น
-ความจำระยะสั้น(short-term memory) หรือ ความจ
าปฏิบัติการ(working memory) ซึ่งเป็นความจ
าที่เกิดขึ้นหลังจากการตีความสิ่งเร้าที่รับรู้มาแล้ว ซึ่งจะ
เก็บข้อมูลไว้ได้ชั่วคราวประมาณ 20 วินาที และท
าหน้าที่ในการคิด
-ความจำระยะยาว (long- term memory)
เป็นความจำที่มีความคงทน มีความจุไม่จำกัดสามารถคงอยู่เป็นเวลานาน
เมื่อต้องการใช้จะสามารถ เรียกคืนได้ สิ่งที่อยู่ในความจำระยะยาวมี 2 ลักษณะ คือ
ความจำเหตุการณ์ (episodic memory) และ ความจำความหมาย(semantic memory)
เกี่ยวกับข้อเท็จจริง มโนทัศน์ กฎ หลักการต่าง ๆ องค์ประกอบ
ด้านความจำข้อมูลนี้ จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
ขึ้นกับกระบวนการทางปัญญาของบุคคลนั้น ซึ่ง ประกอบด้วย
1) การใส่ใจ หากบุคคลมีความใส่ใจในข้อมูลที่รับเข้ามาทางการสัมผัส
ข้อมูลนั้นก็จะถูก นำเข้าไปสู่ความจำระยะสั้นต่อไป หากไม่ได้รับการใส่ใจ
ข้อมูลนั้นก็จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว 2)
การรับรู้
เมื่อบุคคลใส่ใจในข้อมูลใดที่รับเข้ามาทางประสาทสัมผัส บุคคลก็จะรับข้อมูล นั้น
และน าข้อมูลนี้เข้าสู่ความจ าระยะสั้นต่อไป
ข้อมูลที่รับรู้นี้จะเป็นความจริงตามการรับรู้ของบุคคลนั้น ซึ่ง
อาจไม่ใช่ความจริงเชิงปรนัย
เนื่องจากเป็นความจริงที่ผ่านการตีความจากบุคคลนั้นมาแล้ว 3)
การทำซ้ำ
หากบุคคลมีกระบวนการรักษาข้อมูล
โดยการทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก ข้อมูล นั้นก็จะยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในความจ าปฏิบัติการ
4) การเข้ารหัส หากบุคคลมีกระบวนการสร้างตัวแทนทางความคิดเกี่ยวกับข้อมูลนั้นโดย
มีการนำข้อมูลนั้นเข้าสู่ความจำระยะยาวและเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่มีอยู่แล้วในความจำระยะยาว
การเรียนรู้อย่าง มีความหมายก็จะเกิดขึ้น
5) การเรียกคืน
การเรียกคืนข้อมูลที่เก็บไว้ในความจำระยะยาวเพื่อนำออกมาใช้ มี
ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเข้ารหัส
หากการเข้ารหัสทำให้เกิดการเก็บความจำได้ดีมีประสิทธิภาพ การ
เรียกคืนก็จะมีประสิทธิภาพตามไปด้วย ด้วยหลักการดังกล่าว
การเรียนรู้จึงเป็นการสร้างความรู้ของบุคคล ซึ่งต้องใช้กระบวนการ
เรียนรู้อย่างมีความหมาย 4 ขั้นตอนได้แก่ (1)
การเลือกรับข้อมูลที่สัมพันธ์กัน (2) การจัดระเบียบข้อมูลเข้าสู่ โครงสร้าง (3)
การบูรณาการข้อมูลเดิม และ (4) การเข้ารหัสข้อมูลการเรียนรู้เพื่อให้คงอยู่ในความจำระยะยาว
และสามารถเรียกคืนมาใช้ได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้
การให้ผู้เรียนมีโอกาสเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับโครงสร้างความรู้ เดิม ๆ
และนำความรู้ความเข้าใจมาเข้ารหัสหรือสร้างตัวแทนทางความคิดที่มีความหมายต่อตนเองขึ้น
จะส่งผล ให้การเรียนรู้นั้นคงอยู่ในความจำระยะยาวและสามารถเรียกคืนมาใช้ได้
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมและสร้างความหมายและความ
เข้าใจในเนื้อหาสาระหรือข้อมูลที่เรียนรู้ และจัดระเบียบข้อมูลที่เรียนรู้ด้วยผังกราฟิก
ซึ่งจะช่วยให้ง่ายแก่การ จดจำ ค.
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิก
มีหลายรูปแบบ ในที่นี้จะนำเสนอไว้ 3 รูปแบบ ดังนี้
1) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของ โจนส์และคณะ(1989: 20-25)
ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ ๆ 5 ขั้นตอนดังนี้
1.1) ผู้สอนเสนอตัวอย่างการจัดข้อมูลด้วยผังกราฟิกที่เหมาะสมกับเนื้อหาและ
วัตถุประสงค์
1.2) ผู้สอนแสดงวิธีสร้างผังกราฟิก
1.3) ผู้สอนชี้แจงเหตุผลของการใช้ผังกราฟิกนั้นและอธิบายวิธีการใช้
1.4) ผู้เรียนฝึกการสร้างและใช้ผังกราฟิกในการทำความเข้าใจเนื้อหาเป็นราย
บุคคล
1.5) ผู้เรียนเข้ากลุ่มและนำเสนอผังกราฟิกของตนแลกเปลี่ยนกัน
2) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของคล้าก(Clark,1991: 526-524)
ประกอบด้วยขั้นตอนการเรียนการสอนที่ส าคัญ ๆ ดังนี้
ก. ขั้นก่อนสอน
2.1) ผู้สอนพิจารณาลักษณะของเนื้อหาที่จะสอนสาระนั้นและวัตถุประสงค์ของ
การสอนเนื้อหาสาระนั้น
2.2)
ผู้สอนพิจารณาและคิดหาผังกราฟิกหรือวิธีหรือระบบในการจัดระเบียบเนื้อหา สาระนั้น ๆ
2.3) ผู้สอนเลือกผังกราฟิก หรือวิธีการจัดระเบียบเนื้อหาที่เหมาะสมที่สุด
2.4) ผู้สอนคาดคะเนปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้เรียนในการใช้ผังกราฟิกนั้น
ข. ขั้นสอน
2.1) ผู้สอนเสนอผังกราฟิกที่เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหาสาระแก่ผู้เรียน
2.2)
ผู้เรียนทำความเข้าใจเนื้อหาสาระและนำเนื้อหาสาระใส่ลงในผังกราฟิกตาม
ความเข้าใจของตน
2.3) ผู้สอนซักถาม แก้ไขความเข้าใจผิดของผู้เรียน หรือขยายความเพิ่มเติม
2.4) ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดเพิ่มเติม
โดยนำเสนอปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
แล้วให้ผู้เรียนใช้ผังกราฟิกเป็นกรอบในการคิดแก้ปัญหา
2.5) ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้เรียน
3) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของจอยส์และคณะ(Joyce
et al., 1992: 159-161)
จอยส์และคณะนำรูปแบบการเรียนการสอนของคล้ากมาปรับใช้โดยเพิ่มเติมขั้นตอนเป็น 8 ขั้น ดังนี้
3.1) ผู้สอนชี้แจงจุดมุ่งหมายของบทเรียน
3.2) ผู้สอนน าเสนอผังกราฟิกที่เหมาะสมกับเนื้อหา
3.3)
ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนระลึกถึงความรู้เดิมเพื่อเตรียมสร้างความสัมพันธ์กับความรู้
ใหม่
3.4) ผู้สอนเสนอเนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
3.5) ผู้สอนเชื่อมโยงเนื้อหาสาระกับผังกราฟิก และให้ผู้เรียนนำเนื้อหาสาระใส่ลงในผัง
กราฟิกตามความเข้าใจของตน
3.6)
ผู้สอนให้ความรู้เชิงกระบวนการโดยชี้แจงเหตุผลในการใช้ผังกราฟิกและวิธีใช้ผัง
กราฟิก
3.7) ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายผลการใช้ผังกราฟิกกับเนื้อหา
3.8) ผู้สอนซักถาม ปรับความเข้าใจและขยายความจนผู้เรียนเกิดความเข้าใจกระจ่างชัด
4) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของสุปรียา ตันสกุล (2540: 40)
สุปรียา ตันสกุล ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ” ผลของการใช้รูปแบบการสอนแบบการจัดข้อมูล
ด้วยแผนภาพ(Graphic Organizers)
ที่มีต่อสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนและความสามารถทางการแก้ปัญหาของ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 คณะสาธารณสุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล” ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษา
กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนและความสามารถทางการแก้ปัญหาสูงกว่านักศึกษากลุ่ม
ควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 รูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 7 ขั้นตอนดังนี้
4.1) การทบทวนความรู้เดิม
4.2) การชี้แจงวัตถุประสงค์ ลักษณะของบทเรียน
ความรู้ที่คาดหวังให้เกิดแก่ผู้เรียน
4.3) การกระตุ้นให้ผู้เรียนตระหนักถึงความรู้เดิม
เพื่อเตรียมสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียน และการจัดเนื้อหาสาระด้วยแผนภาพ
4.4) การน าเสนอตัวอย่างการจัดเนื้อหาสาระด้วยแผนภาพ
ที่เหมาะกับลักษณะของเนื้อหา ความรู้ที่คาดหวัง
4.5) ผู้เรียนรายบุคคลทำความเข้าใจเนื้อหาและฝึกใช้แผนภาพ
4.6) การนำเสนอปัญหาให้ผู้เรียนใช้แผนภาพเป็นกรอบในการแก้ปัญหา
4.7) การทำความเข้าใจให้กระจ่างชัด
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะมีความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่เรียนและจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดี
นอกจากนั้นยังได้เรียนรู้การ ใช้ผังกราฟิกในการเรียนรู้ต่าง ๆ
ซึ่งผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้เนื้อหาสาระอื่น ๆ ได้อีกมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น